เทศน์พระ

สิ้นหวัง

๗ พ.ย. ๒๕๕๗

 

สิ้นหวัง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว เราตั้งใจฟังธรรมของเรา ตั้งใจฟังธรรม เห็นไหม เวลามันสิ้นปีทางโลกเขาปิดบัญชี แต่ละปีเขามีงบดุลของเขา เขามีบัญชีของเขา กำไรขาดทุนแต่ละปีๆ นี่ของเราก็เหมือนกัน เวลาเรามาบวชแล้ว เห็นไหม ๑ พรรษา ๒ พรรษา ๓ พรรษา งบดุลแต่ละปีๆ ไง ถ้างบดุลแต่ละปีนี่เรามีผลได้ เรามีประสบการณ์ของชีวิต งบดุลของเรา เห็นไหม ปีนี้ไม่ขาดทุน ถ้ามันเพิ่มกำไรต่อเนื่องๆ กันไปเราจะมีความหวังนะ

ถ้าคนมีความหวังนะ ทำสิ่งใด เห็นไหม ดูสิ เราประกอบธุรกิจประสบความสำเร็จ เราอยากจะขยายกิจการของเราไปเรื่อยๆ นั้นคือเขาประสบความสำเร็จของเขา เขามีความสุขของเขา แต่คนที่ประกอบธุรกิจเขาล้มลุกคลุกคลานมาทั้งนั้น เวลาธุรกิจขนาดย่อม เวลาเขาตั้งเนื้อตั้งตัวขึ้นมานี่ เขาตกทุกข์ได้ยาก เขาทำแล้วนี่ชักหน้าไม่ถึงหลัง นี่การบริหารจัดการ เห็นไหม เราจะบริหารจัดการของเรายังไงธุรกิจนี้ เราดูแลของเรา เราต้องจ้างผู้ที่มาดำเนินการ เราไว้ใจเขาได้ไหม เราควบคุมเขาได้ไหม เราดูแลของเราทั่วถึงไหม ถ้าไม่ทั่วถึงนะ มันสุรุ่ยสุร่าย เห็นไหม มันขาดตกบกพร่องนี่มันก็ต้องปิดกิจการไป กว่ากิจการนั้นจะประสบความสำเร็จแต่ละกิจการ เห็นไหม แล้วมันขยายเติบโตต่อเนื่องกันไปๆ ในปัจจุบันนี้การควบรวมกิจการนี่กำลังเป็นที่เชิดหน้าชูหน้าเลย ใครๆ ก็ควบรวมกิจการเพื่อให้มันขยายใหญ่โตขึ้นไปๆ นั้นการประกอบธุรกิจประสบความสำเร็จของเขา

เราก็เหมือนกัน เวลาเราบวชมา เห็นไหม เราบวชมาเป็นพระนี่ เรามีความตั้งใจ เรามีสัจจะ เรามีความศรัทธาของเรา เราตั้งเป้าของเราเลย เราจะประพฤติปฏิบัติขนาดไหนเราจะตั้งเป้าของเรา ถ้าเรามีความหวัง เห็นไหม ถ้าคนมีความหวังทำสิ่งใดมันมีอนาคต ถ้าคนมีอนาคต มันมีเป้าหมาย มันมีอธิษฐานบารมี ชีวิตมันไม่เคว้งคว้างไง

เรามีเป้าหมายของเรานะ เราบวชมาเพื่ออะไร? เราบวชมาเพื่อมรรคผลนะ เพราะอะไร เพราะว่าในทางโลก ถ้าเราอยู่กับทางโลก เราคลุกคลีอยู่ทางโลก เห็นไหม เวลามันเผาลนมามันมีความทุกข์ เราก็อยากหาทางออก เราก็มาบวชพระกัน บวชพระเพื่อจะหาทางออก เวลาเราบวชพระแล้วเราขวนขวายขนาดไหน เราตั้งเป้าของเราไว้ไหม เราตั้งใจของเราไหม ตั้งใจของเราเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ตั้งใจของเรา นี่อย่างน้อยก็ให้หัวใจมันมีที่พึ่งที่อาศัย

เราอาศัยทางโลก เห็นไหม ดูสิ ปัจจัยเครื่องอาศัย เช้าก็บิณฑบาตมาปัจจัย ๔ เพื่อดำรงชีวิต เราก็มีที่พึ่งอาศัยที่มั่นคงแล้ว แต่หัวใจของเราล่ะ? หัวใจของเรานี่เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่เป็นทฤษฎีทั้งนั้น มีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งๆ เราก็เป็นที่พึ่ง เห็นไหม นี่มันเป็นเรื่องทางโลกทั้งนั้น เป็นที่อาศัยของวัตถุ เห็นไหม ของธาตุ ๔ แล้วหัวใจล่ะ? หัวใจมันทุกข์มันยากขึ้นมา เวลามันทุกข์มันยากกิเลสมันเผาลนในหัวใจ

เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เรื่อง อริยสัจ สัจจะความจริง เห็นไหม เป็นนามธรรมเป็นความรู้สึกนี่ ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา แล้วใจมันสงบระงับเข้ามา มันมีสัมมาสมาธินี่เป็นที่อยู่อาศัย ถ้าที่อยู่อาศัยนี่มันเป็นความจริงขึ้นมานะ ถ้าความจริงขึ้นมา เห็นไหม เรามีความหวัง เรามีความหวัง เราไม่ได้เป็นคนสิ้นหวัง

ถ้าคนสิ้นหวัง เห็นไหม นี่ดูคนสิ้นหวัง เวลาสิ้นหวังขึ้นมานี่มันท้อแท้ไปหมด ถ้าคนสิ้นหวัง เห็นไหม เราจะเดินหน้ายังไง เราทำของเรา เราตั้งใจของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา ทำไมมันไม่ได้อย่างหวังๆ เห็นไหม นั่นล่ะกิเลสมันสอดแทรกเข้ามา สมุทัยนี่มันจะทำให้เราล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น ถ้าสิ่งที่ล้มลุกคลุกคลาน ล้มลุกคลุกคลานแล้วใครล้มลุกคลุกคลาน

เราบวชมาเป็นพระ สำเร็จการบวชมาตั้งแต่อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มาแล้ว เห็นไหม นี่เริ่มต้นตั้งแต่ตกฟากเลยนี่ บวชสำเร็จเมื่อไหร่ นี่ตั้งแต่นาทีวินาทีเลย เราสำเร็จเมื่อไหร่ เห็นไหม ตกฟากมาเลยนี่อยู่ในใบสุทธิ นี่มันให้เราบวชมา เราบวชมาเป็นพระ นี่สมบูรณ์มาตั้งแต่วันที่อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ มันสมบูรณ์มาตลอด นี่โดยภาพทางโลก เห็นไหม สมบูรณ์มาตลอด

เราเป็นสมณะ เราเป็นพระ เป็นพระนี่สมบูรณ์ทางกฎหมายสมบูรณ์ทางธรรมวินัย แล้วเราก็พยายามจะสู้กับกิเลสของเรา เห็นไหม เราบวชมาเราตั้งใจมาแล้วว่าเราเลือกว่าเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าประพฤติปฏิบัติของเรา นี่สัปปายะ ๔ นี่ที่เป็นสัปปายะๆ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ถ้าอาหารเป็นสัปปายะก็เลี้ยงร่างกายนี้ไง ถ้ามีความหวังนะ คนมีความหวังมันดูดดื่ม ความหวังมันสดชื่น พอมีความหวังมันขวนขวาย การขวนขวายของคนมีความหวัง

ดูสิ เวลาเขารบทัพจับศึก เห็นไหม กองทัพที่มีความหวัง กองทัพที่เขามีขวัญมีกำลังใจ กองทัพแม้แต่กองทัพที่เล็กน้อยนะ ที่กำลังที่น้อยกว่า เขาสามารถชนะกองทัพที่ใหญ่กว่าได้ทั้งนั้นเพราะกำลังใจของเขา เพราะขวัญกำลังใจของเขา เห็นไหม เขามีความหวังของเขา นี่ทำสิ่งใดมันก็ทำด้วยความหวัง กองทัพที่ใหญ่กว่าเขา เห็นไหม กองทัพนี่จำนวนทหารมากกว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ดีกว่าเขาทั้งนั้น แต่มันสิ้นหวัง ท้อแท้ น้อยเนื้อต่ำใจนี่ สิ่งใดก็จะสู้เขาไม่ได้ จะทำสิ่งใดก็ทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่กำลังพลก็มากกว่า ทุกอย่างก็มากกว่า เพราะไม่มีขวัญกำลังใจไง นี่เพราะมันสิ้นหวังไง คนสิ้นหวังสิ้นไร้ไม้ตอกเลยล่ะ แต่ถ้าคนมีหวังทำสิ่งใดมันก็ประสบความสำเร็จ มันมีความหวัง เห็นไหม เรามีความหวังของเรา เราไม่ใช่คนสิ้นหวังสิ้นท่า คนสิ้นท่าสิ้นไร้ไม้ตอกนี่มันอ่อนแอ

แต่ถ้าคนมีกำลังใจ เห็นไหม งบดุลเวลาเขาปิดไปแล้วเป็นปีๆ ไป นี่ก็เหมือนกันเข้าพรรษาออกพรรษานี่มันปีๆ ไป นี่เป็นปีๆ ไป เราขวนขวายของเรา นี่พรรษาไหนๆ เรารู้ได้ เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นี่หลวงปู่มั่นท่านไปสำเร็จที่เชียงใหม่ เดี๋ยวเวลามันอ๋อขึ้นมาในหัวใจนี่หนองอ้อ หนองอ้อก็อ้อกลางหัวใจ เวลาอ้อกลางหัวใจนี่เป็นในหัวใจของหลวงปู่มั่น

คนเรานี่มันเกิดที่ไหน เห็นไหม ในปัจจุบันนี้เกิดที่โรงพยาบาล เวลาเราแจ้งเกิดๆ ที่โรงพยาบาลทั้งนั้น แล้วแจ้งเกิดที่โรงพยาบาลแล้ว เห็นไหม เขาเลี้ยงดูกันมา เติบโตกันมา นี่ครูบาอาจารย์ท่านบรรลุธรรมที่ไหน? ท่านทำยังไงนี่มันฝังใจ เห็นไหม นี่เวลาหนองอ้อ มันหนองอ้อในใจของหลวงปู่มั่น แล้วมันก็อยู่ในใจหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านจะธุดงค์ไปที่ไหน ท่านอยู่ที่ไหนมันก็เป็นธรรมธาตุอันนั้น เป็นธรรมในใจของหลวงปู่มั่นนั้น ไอ้หนองอ้อน่ะเป็นที่ว่าที่แจ้งเกิดที่ประพฤติประสบความสำเร็จที่นั่นๆ

ไอ้พวกเรานี่ได้ศึกษาแล้วนี่ได้อ่านประวัติหลวงปู่มั่นเราก็จะไปหาหนองอ้อ เราก็จะไปเคารพบูชาสถานที่นั้น แล้วก็หาอยู่ที่ไหน หนองอ้อหาอ้อไม่เจอ ไม่รู้หนองอ้อมันอยู่ที่ไหน เพราะอะไร? เพราะมันไม่ใช่เป็นหนองอ้อ มันเป็นโคนต้นไม้ มันเป็นโคนที่ท่านนั่งอยู่โคนต้นไม้นั้น แต่มันอ้อขึ้นมาในหัวใจ นี่มันเป็นประโยชน์เป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ศึกษามาๆ นี่หนองอ้อๆ ถ้ามันอ๋อขึ้นมาในหัวใจ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าคนมีความหวังไง คนมีความหวังนะ ความเป็นอยู่ของเราๆ เกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ท่านไม่ได้ปฏิเสธโลก ท่านไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไป ไม่ได้ปฏิเสธมีชีวิต ไม่เหมือนทางโลก เห็นไหม ชีวิตนี้มีเพราะมีเรา ถ้ากำจัดเราซะมันก็หมด หมดไป หมดชีวิต หมดทุกอย่างไป มันก็ไม่มีอะไรเลย จะไปนิพพาน ...นิพพานของกิเลสไง นิพพานของตัณหาความทะยานอยากไง นิพพานของความไม่รู้ไง นิพพานของความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นี่ไปทำลายชีวิตของตน เห็นไหม

แต่เวลาครูบาอาจารย์ เห็นไหม ดูสิ สอุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสไปแล้ว ท่านก็ดำรงชีวิตของท่านไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาอีก ๔๕ ปี เป็นประโยชน์กับโลกมหาศาลเลย เป็นประโยชน์กับโลกมหาศาลเพราะอะไร? นี่ไง พระอรหันต์ที่มีชีวิต นี่ตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ เพราะอะไร? เพราะมันสัจธรรมในหัวใจอันนั้น นี่มันชี้นำ

จิตใจ เห็นไหม ภวาสวะ ภพ ปฏิสนธิจิตที่อวิชชาปิดบังหัวใจไว้ มันก็มืดบอดไปหมด ท่องปากเปียกปากแฉะจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้อธรรม เห็นไหม สิ่งที่พระพุทธเจ้ายกเป็นคติธรรมต่างๆ นี่เข้าใจได้หมด อธิบายได้หมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศน์ที่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์กับใคร นี่เทศน์กับใครแล้วใครจำเนื้อความนี้ได้ก็มีความรู้ มีความรู้ ทีแรกก็มีความรู้ แต่ถ้าใครจำเนื้อความนี้ได้ ใครจำเนื้อความนี้ได้ท่องได้ขึ้นปากนะ เป็นพระอรหันต์เพราะรู้

นี่มันรู้อะไร รู้ด้วยอวิชชา รู้ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ นี่ทั้งๆ ที่คนสิ้นหวัง สิ้นหวังก็คนไม่มีกำลังใจ คนที่ทำสิ่งใดไม่ได้ คนสิ้นหวังนี่คนสิ้นไร้ไม้ตอก คนสิ้นไร้ไม้ตอก เห็นไหม เพราะมันไม่มีความหวัง ไม่มีกำลังใจ ไม่มีการกระทำต่อไปที่มันเจริญก้าวหน้า แล้วไปท่องจำสิ่งนั้นมา

คนสิ้นหวังไปจำมาไง พอไปจำมานี่เพราะมันสิ้นหวัง เพราะมันไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มีกำลังใจ ไม่มีสัจจะ เห็นไหม นี่พอจำสิ่งใด ทำสิ่งใดมาก็ว่าเป็นของเราๆ เราเข้าใจๆ เข้าใจนี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของเราเลย ไม่ใช่ของบุคคลคนนั้น ไม่ใช่ของคนที่จำได้ เพราะสิ่งที่เวลาจำได้ เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม นี่มันตรัสรู้ธรรมขึ้นมาด้วยสิ่งใด ด้วยมรรคญาณ ด้วยสัจจะ ด้วยความจริงในหัวใจอันนั้น

สิ่งที่เวลาหลวงปู่มั่นท่านไปหนองอ้อ อ๋อที่เชียงใหม่ เห็นไหม ท่านก็อ๋อมาด้วยความเป็นไปในใจของท่าน แล้วท่านบอกถึงวิธีการ ถ้าวิธีการเราทำยังไง เราจำของเขามานี่เราไม่มีความจริงขึ้นมา ถ้ามีความจริงขึ้นมา เห็นไหม เราต้องมีกำลังใจของเรา นี่สิ่งที่ศึกษามา สิ่งที่ได้ฟังมาแล้วนี่สาธุ เทิดขึ้นไว้บนศีรษะ หลวงปู่มั่นบอกหลวงตาไว้ เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ประเสริฐมาก สิ่งที่เราศึกษานี่มันประเสริฐมาก ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นศาสดาของเรา เป็นศาสดา เป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้ที่จะพยายามชักลากเราไป คำว่า ชักลากเราไปๆ ให้สู่ความจริงนี่ แต่เราจะไปชักลากกลับมาไง คนสิ้นหวัง คนสิ้นไร้ไม้ตอกไง

ดูเวลาเด็กที่มันงอแง เห็นไหม มันตีโพยตีพายจะให้พ่อแม่มันสนองตัณหาความทะยานอยากของมัน มันเรียกร้องให้ไปตามมัน นี่ก็เหมือนกัน คนสิ้นหวังไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เรารู้เราเข้าใจไง เราเข้าใจตามความรู้ของเราไง นี่มันจะดึงธรรมะลงมาให้คลุกกับสมุทัยในใจของบุคคลคนนั้น แต่สัจธรรมนั้นมันไม่ลงไปอยู่ในใจดวงนั้นแน่นอน

สัจธรรมก็คือสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการมาแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปีนี่มันก็ยังคงเส้นคงวาอยู่อย่างนั้น มันคงเส้นคงวาให้ใครมาศึกษา ให้ใครมาค้นคว้า ให้ใครได้มาประพฤติปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง แต่คนสิ้นหวังมันไปงอแงไง จะดึงลงมาให้เป็นเหมือนความเห็นของเราไง เพราะเหมือนความเห็นของเรา เห็นไหม มันก็ไม่เป็นความจริงอยู่แล้ว ไม่เป็นความจริงอยู่แล้วมันก็ไม่มีสัจจญาณ ไม่มีกิจจญาณในใจนั้น ถ้าไม่มีกิจจญาณในใจนั้น แล้วสิ่งนั้นมันจะเป็นความจริงได้อย่างไร

ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม ความจำๆ ความจำของเรา จำวันแล้ววันเล่านี่มันก็คลาดเคลื่อน ดูสิ คนมีการศึกษามา เวลาทบทวนต้องไปเปิดตำรานะ นี่ไปเปิดตำราเพราะเรียนมานี่ลืมหมดแล้ว เรียนมามีความรู้ๆ สอบวุฒิได้ เรียนนี่เพื่อสอบ สอบได้แล้วก็จบ แล้วเราทำยังไงต่อไป แล้วเวลาทบทวนความรู้ของเรา เวลาเขาถามถึงว่าความรู้นี่ คนที่เขาทำงานของเขา เขามีกิจการของเขามีความสงสัยเขามาปรึกษาไง ปรึกษาก็ต้องกลับไปทบทวนตำรา ไปเปิดตำรา ตำราว่าไว้ยังไง จริงหรือเปล่า แต่คนที่เขาฝึกงานของเขา เขาทำของเขานี่ เขามีปัญหาเขามาปรึกษานี่ เขาทำหน้างานของเขา เขามีสัจจะ มีกิจจะ เขามีการกระทำของเขา เขาเป็นความจริงของเขา มันเป็นภาคปฏิบัติ

เวลาเราภาคปริยัติๆ มันก็ศึกษา การศึกษาไม่ใช่ความเสียหาย การศึกษาเป็นการที่คงธรรมคงวินัยนี้ไว้ ศึกษาไว้นี่ท่องจำกันมาสืบต่อๆ กันมา เพราะความท่องจำกันมา เห็นไหม มีตำรับตำราค้นคว้ากันมา ทำวิจัยกันมาเพื่อประโยชน์กับพุทธศาสนา แต่ถ้าวิจัยด้วยความเห็นของเรา เห็นไหม เราไม่ควรเข้าไปบวกกับเนื้อสัจธรรมอันนั้น มันเป็นความเห็นของเรา ไม่ใช่ความเห็นของธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ธรรมของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ไม่ใช่ธรรมของหลวงตาที่ท่านเทศนาว่าการไว้

เวลาอ้างอิงๆ มาเพื่อเป็นแนวทาง อ้างอิงมาเพื่อเป็นหัวเชื้อ อ้างอิงขึ้นมาเพื่อปัญญา เพื่อการแยกแยะ เพื่อการค้นคว้า ไม่ใช่ว่าเราจะบังคับให้เป็นเหมือนเรานะ เพราะคนสิ้นหวัง คนไม่มีความหวังไม่มีสัจจะไม่มีความจริง นี่ไม่มีความจริงนี่ อ้างอิงสิ่งนั้นๆ ว่าเหมือนกับของเรา เหมือนกับความรู้ของเรา เพราะกลัวไง กลัวว่าความรู้ความเห็นของเรานี่ไม่มีคนยอมรับด้วย ไม่มีคนเห็นด้วย ความรู้ความเห็นของเรานี่มันไม่มีคนเออออ ไม่มีคนยอมรับ นี่ก็ต้องอ้างอิง เห็นไหม นี่กิเลสมันบังเงา

เวลาหน้าฉากไง เวลาหน้าฉากพูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาหลังฉากล่ะ ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนึ่ง ถ้ามีสติขึ้นมามันมีสามัญสำนึกนะ คนเรามีสติ เห็นไหม คนต่างกับสัตว์ เวลาสัตว์นะมันดำรงชีวิตของมันแบบสัตว์ สัตว์นะมันไม่มีวาสนา มันทำคุณงามความดีของสัตว์ ความดีของสัตว์คือมันเผื่อแผ่กัน แต่ความดีของสัตว์เวลาสัตว์มันหวงอาหาร มันแย่งชิงกัน มันทำร้ายกัน

ถ้ามีสติมีปัญญามีสามัญสำนึกว่ามนุษย์ต่างกับสัตว์ เวลาสัตว์ เห็นไหม มันเกิดมา ถ้ามันไปอยู่กับคนที่มีน้ำใจ เขาก็ดูแลมันดี เขาก็ดูแลมัน แต่ถ้ามันเป็นสัตว์ป่า สัตว์ป่ามันก็ต้องมีเชาวน์มีปัญญาเพื่อรักษาชีวิตของมัน เพื่อแสวงหาอาหารของมัน ถ้ามันถึงภัยแล้ง เห็นไหม ดูสิ เวลาไฟป่ามานี่ เวลาไฟป่ามา สัตว์ป่ามันหนีไม่ทันมันโดนไฟป่าเผาตายหมด

แล้วนี่มนุษย์ก็ไปรุกป่า เห็นไหม มนุษย์ก็เพื่อประโยชน์ของการดำรงชีวิต ก็ต้องมีอาชีพ ก็ต้องทำไร่ไถนา ก็รุกป่า จนสัตว์มันไม่มีที่อยู่อาศัย สัตว์มันไม่มีที่อยู่อาศัยมันก็มาอาศัยในบ้านเรือนของมนุษย์ มนุษย์ก็ว่ามันเข้ามารกรุงรัง เข้ามาเพื่อทำร้าย เห็นไหม ก็ดักจับมันเพื่อเป็นอาหาร นี่เรื่องของสัตว์

มนุษย์ต่างกับสัตว์ ถ้ามันมีสติปัญญามันคิดได้ ถ้ามันคิดได้มันก็เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์เรานี้ไง เห็นไหม มนุษย์ยังไง มองตากันน่ะมันขาดตกบกพร่องมันก็ขอพึ่งพาอาศัยกันได้ นี่เห็นไหม เราจุนเจือกันได้ ถ้ามนุษย์ที่มีคุณธรรมในใจนี่มันเผื่อแผ่กัน ความเผื่อแผ่ความดูแลต่อกัน นี่มันเผื่อแผ่กัน เห็นไหม เผื่อแผ่เพื่ออะไรล่ะ?

น้ำใจไง ถ้ามีน้ำใจต่อกัน เห็นไหม คนมีสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น นี่ประโยชน์ด้วยอะไร เห็นไหม เขาบอกว่าการทำทานที่สูงสุดคือการให้ธรรมะ ให้ธรรมเป็นทาน ถ้าให้ธรรมเป็นทานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านให้ธรรมเป็นทาน ครูบาอาจารย์นี่ให้ธรรมเป็นทาน นี่แล้วคนที่มีความหวัง ความหวังเพราะอะไร เพราะมีกิจจญาณ มีสัจจญาณ มีสัจจะความจริงในหัวใจ สิ่งนี้เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงแล้วเป็นประโยชน์ไง แต่คนที่สิ้นหวังนี่มันฟังไม่รู้เรื่อง คนที่สิ้นหวังนี่มันเป็นประโยชน์อะไร ประโยชน์ของเราคือคำข้าวไง ประโยชน์ของเราคือการดำรงชีวิตนี้ไง ประโยชน์ของเราวัตถุน่ะ นี่เห็นไหม โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภมียศเสื่อมยศ อยากให้คนสรรเสริญนินทา อยากให้คนยกย่องสรรเสริญ มันมีประโยชน์อะไร มันเป็นไฟเผาลนทั้งนั้น คนสิ้นหวังไปมองแต่วัตถุไปมองแต่เรื่องโลกธรรม ๘ ไง

แต่คนที่มีความหวัง เห็นไหม เราสามารถเจือจานเขาได้ เจือจานเขาด้วยอะไร เจือจานเขาด้วยพฤติกรรมที่ความเป็นอยู่ของเรานี่แหละ นี่เห็นไหมครูบาอาจารย์ท่านอยู่ของท่านด้วยความสงบระงับของท่าน ดูสิ พระอัสสชิเวลาออกไปบิณฑบาต พระสารีบุตร เห็นไหม ดูสิเป็นพราหมณ์ เขาเห็นกิริยาการบิณฑบาตของพระอัสสชิแล้วมีความศรัทธา ความเป็นอยู่นั่นทำให้พระสารีบุตรเพ่งมองแล้วมันน่าเคารพเลื่อมใส ตามไปๆ เห็นไหม

แม้แต่ความเป็นอยู่ของเรานี่แหละ มันจะมีอะไรไปให้เขา ก็มีการดำรงชีวิตของเราด้วยสมณสารูป นี่แล้วการดำรงชีวิตของเราเห็นไหม ถ้าเขาเห็นการดำรงชีวิตว่านี่ไม่เบียดเบียนเขา ไม่เบียดเบียนเขา ไม่เป็นภาระเขา ไม่ทำให้เขาหนักหน่วง เขาก็มีความอยากจะเข้ามาใกล้ชิด เพราะว่าเขาจะไม่โดนกระทบกระเทือนไปด้วย ไม่โดนเบียดเบียนไปด้วย

แต่ถ้าเราเห็นแต่โลกธรรม ๘ ใครเข้ามาต้องมีสักการะ ใครเข้ามาต้องมีการเคารพนบนอบ นี่ไม่มีใครเข้ามาหาเราหรอก เพราะมันกระทบกระเทือนเขา เพราะมนุษย์ก็มีศักยภาพเหมือนทุกๆ คนนั่นแหละ ความเป็นอยู่ของเรานี่แหละถ้าไม่เบียดเบียนใคร เราอยู่ด้วยศักยภาพของเราเห็นไหม นี่สมณสารูป แล้วแสดงออก เวลาแสดงออกเห็นไหม มันไม่ใช่กลองจัญไร กลองจัญไรนี่เขาไม่ตีมันดังตุ้มต้ำๆ เขาวิ่งหนีหมดนะ นี่อยากให้คนเข้าไปหา แต่ใครจะเข้าไปหาล่ะในเมื่อมันเป็นกลองจัญไร แต่ถ้าเป็นกลองที่มันเป็นประโยชน์ เห็นไหม นี่เวลากลองเพลเขาตีมันถึงดังเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขาเข้ามาหานั่นน่ะ นั่นน่ะเขาเข้ามาหาเพราะอะไร? เขาเข้ามาหาเพราะว่าเขาต้องการธรรมโอสถ เขาต้องการสัจธรรม เพราะชีวิตนี้มันทุกข์นัก นี่ทำมาหากินกันอยู่ถึงจะประสบความสำเร็จชีวิตทางโลกมากน้อยขนาดไหน นี่จะมีทรัพย์สมบัติมหาศาลขนาดไหนแต่มันทุกข์น่ะ มันทุกข์ มันลน มันเข็ญใจ นี่ก็ไปสู่วัดสู่วาสู่พระเพื่ออะไร ก็เพื่อน้ำอมตธรรม เพื่อความคลายทุกข์

สิ่งที่คลายทุกข์ เห็นไหม นี่กลองมันไม่จัญไรไง เวลาเขาตีเขาเข้ามาหาเพื่อประโยชน์ นั่นเทศน์สิ บอกเขาสิ เวลาบอกเขานี่ทำไมมันถึงทุกข์ล่ะ? เราไม่ต้องการสิ่งใดๆ เลย เห็นไหม นี่ให้ธรรมเป็นทานๆ ไม่ต้องการสิ่งใดๆ เลย ต้องการน้ำใจ น้ำใจสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขา เขาไว้เนื้อเชื่อใจ เขาวางใจเห็นไหม การที่วางใจๆ นี่เขาเข้าไปสู่วัดสู่วาสู่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม มันไม่ใช่กลองจัญไร นี่กลองแท้ๆ นี่กลองที่เป็นประโยชน์

เวลาไม่มีสิ่งใดเข้ามานี่ แหม ดังตุ้มต้ำๆ นี่เห็นไหม นี่ระบือลือลั่น มีชื่อเสียงมีกิตติศัพท์กิตติคุณ เวลาเขามาเขาตีไม่ดังน่ะ แปะๆ แปะๆ นี่ตีไม่ดังน่ะ มันกลองอะไร แล้วก็บอกว่าให้ธรรมเป็นทาน ธรรมะอะไร? ธรรมะอะไร? นี่เขาไม่ได้ขอ ก็ระบือลือลั่นๆ นั่นน่ะถ้าคนมีปัญญาทำให้เขาตกอกตกใจไง นี่ระบือลือลั่นมันเป็นประโยชน์อะไร แต่เวลาเขาทุกข์เขายากสิ เวลาเขาทุกข์เขายากนี่มันเพื่อกังวานเข้าไปในหัวใจของเขา กังวานเข้าไปเพื่อประโยชน์กับเขา ถ้าเป็นประโยชน์กับเขาขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่เป็นประโยชน์ๆ ของดีทุกคนมันแสวงหาทั้งนั้นน่ะ ทุกคนแสวงหาของดี ถ้าสิ่งใดที่เป็นคุณงามความดี แล้วคุณงามความดีที่ประเสริฐขึ้นไป เห็นไหม

ดูสิ แล้วเวลาเราทำคุณงามความดีกัน ถ้าพระประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีสัจจะในหัวใจเห็นไหม มันไม่หวั่นไหวกับสิ่งใดๆ เลย ความดีของเรานั่งนิ่งๆ อยู่เฉยๆ ความดีที่ว่าเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยเป็นความดีได้อย่างไร ดูสิ เวลาพระเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เขาพยายามแสวงหา เขาทำเพื่อประโยชน์กับศาสนาเห็นไหม เขาทำประโยชน์กับศาสนา แล้วทำประโยชน์กับศาสนาเพื่ออะไรล่ะ ทำประโยชน์กับศาสนาเพื่อเข้าสู่บรรลุธรรม เพื่อเข้าสู่สัจธรรม

นี่ไง เวลาศาสนานี่ตัวศาสนามันอยู่ที่ไหน ตัวศาสนามันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ศาสนวัตถุเหรอ มันอยู่ที่ศาสนพิธีเหรอ พิธีกรรมที่กระทำกันพิธีกรรมอันนั้นหรือ มันอยู่ที่ศาสนวัตถุใช่ไหม ถ้าวัตถุมันก็อิฐปูนหินทรายเหมือนกัน นี่ศาสนามันอยู่ที่ไหนล่ะ ศาสนามันก็อยู่ที่มรรค ๘ อยู่ที่อริยสัจ สัจจะความจริงที่เข้าไปสู่ความจริงอันนั้น กิริยานั่นกิจจญาณมันมีการกระทำเห็นไหม ถ้าการกระทำเข้าไปสู่สัจธรรม ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิยกขึ้นวิปัสสนาเห็นไหม นี่อริยสัจ นี่สู่ที่เป็นอริยสัจสัจจะความจริงในอริยสัจ ถ้าอริยสัจนะ นี่จิตนี้มันกลั่นออกมาจากอริยสัจ เวลามันกลั่นออกมาจากอริยสัจนั่นน่ะตัวศาสนา

นี่สัจธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ แล้วเราประพฤติปฏิบัติเราทำคุณงามความดี นั่งเฉยๆ นี่ นั่งนิ่งๆ เพราะการนั่งนิ่งๆ การบำเพ็ญตบะธรรมเพื่อทรมานกิเลส อันนี้มันเป็นงานของพระ มันเป็นงานของศากยบุตรพุทธชิโนรส มันเป็นงานของผู้ที่มีคุณธรรม มันไม่ใช่คนสิ้นหวัง คนสิ้นหวังคนที่ไม่เอาไหน คนที่ท้อแท้ล้มลุกคลุกคลานนะ ถอยกรูดๆ นั่นน่ะ ในหัวใจไม่สู้เลย ในหัวใจไม่มีความหวังเลย

แต่มันจัญไร มันจัญไร มันดังระบือลือลั่น ลือลั่นไปนั่น คนสิ้นหวังดังลือลั่น มันดังไปด้วยอะไร มันมีคุณธรรมอะไรในหัวใจอันนั้นบ้าง

นี่พอคนสิ้นหวังไง พอคนสิ้นหวังนี่มันไม่มุมานะๆ ไม่มีการกระทำ ไม่เข้าสู่สัจจะความจริงอันนั้น แล้วถ้าไม่เข้าสู่สัจจะความจริงอันนั้นมันจะได้สิ่งใดมาเป็นคุณธรรมล่ะ มันจะได้สิ่งใดมาเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นล่ะ ถ้าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้นมันต้องเข้มแข็ง เข้มแข็งตั้งใจของเรา

นี่กองทัพที่เล็ก กองทัพที่มียุทโธปกรณ์ที่น้อยกว่า จำนวนทหารก็น้อยกว่า แต่เขามีสติ เขามีปัญญาของเขา เขามีความสามัคคี เขามีความสามัคคีของเขา เขามีความมุมานะของเขา เขาขวนขวายของเขา เพื่ออะไร? เพื่อต่อกรกับอวิชชาไง เพื่อต่อกรกับพญามารไง มันมีความหวัง คนมีความหวังเพื่อจะต่อกรกับอวิชชา อวิชชานะ พญามารมันมีลูกมีหลานมีเหลน มันมีกองทัพของมันที่ยิ่งใหญ่ แล้วกองทัพของมันที่ยิ่งใหญ่มันยึดชัยภูมิที่เหนือกว่า มันยึดชัยภูมิคือภวาสวะคือภพ คือจิตเดิมแท้ คือหัวใจของสัตว์โลก มันยึดชัยภูมิอยู่ที่นั่น

แล้วเรามาประพฤติปฏิบัติใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ได้ปราบปราม ได้ทำลายเรือนยอดของมาร ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่เรือน ๓ หลัง นี่เรือนยอดของมันคือตัวพญามาร คืออวิชชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หักเรือนยอดของมันแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บอกวิธีการให้เราต่อสู้กับมันอยู่นี่ ถ้าเราจะต่อสู้กับมันเรามีความหวังไหม

เริ่มต้นก็ล้มลุกคลุกคลาน เริ่มต้นก็อ่อนแอ เวลาข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมานี่เขาเอาไว้ให้มาวัดหัวใจของเราเห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัตินี่เป็นเครื่องอยู่ เวลาเด็กน้อย เด็กน้อยที่ยังดำเนินการสิ่งใดไม่ได้พ่อแม่ก็ต้องดูแลเห็นไหม ให้อุบาย ให้ความดูแลด้วยความอนุเคราะห์ จิตใจของเรานักปฏิบัติใหม่นี่ยิ่งกว่าทารก เพราะมันมาจากโลกทั้งนั้น เป็นความรู้สึกของฆราวาส เป็นความรู้สึกของคฤหัสถ์

เวลาคุณงามความดีของเขาก็คุณงามความดีแบบโลกไง ทำสิ่งใดก็เอา ๒ ขั้น ๓ ขั้น จะเอาการยอมรับจากสังคม การทำสิ่งใดขาดอย่างเดียวขาดการประชาสัมพันธ์ จะทำสิ่งใดก็กลัวคนอื่นจะไม่รู้เรามีคุณงามความดี ความดีอย่างนั้นดีโดยการจ้างให้คนเป็นความดี เอาวัตถุมาเป็นความดี ไอ้น้ำใจเป็นของเล็กน้อย แต่เวลาพวกเราประพฤติปฏิบัติน้ำใจเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ไอ้เรื่องวัตถุนั่นเป็นของมาทีหลัง น้ำใจที่ยิ่งใหญ่ นี่มันอบอุ่นมันยิ้มแย้มแจ่มใสเห็นไหม

นี่สิ่งที่เป็นคุณธรรมเขามองไม่เห็น เขาไม่รู้ แต่เราเป็นคนที่มีความหวัง เรามีความหวังเพราะอะไร เพราะเรามีศรัทธา เรามีศรัทธา เรามีความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อของเรา เราเอาชีวิตของเราทั้งชีวิตเลยเข้ามาสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ได้ห่มธงชัยพระอรหันต์ เห็นไหม ผ้ากาสาวพัสตร์เป็นธงชัยของพระอรหันต์ เป็นธงชัย มันเป็นธงชัยนำหัวใจของเรา ถ้านำหัวใจของเราเห็นไหม มันโบกสะบัดขึ้นมากลางหัวใจของเรา มีครูบาอาจารย์เป็นคนถือธง เห็นไหม เป็นธงนำของเรา ถ้าเราเอาจริงเอาจังของเรา เราต้องพยายามของเรา

เวลาจิตใจนี่มันท้อแท้นะ เวลามันไฟสุมขอนนี่มันคอตก เห็นไหม นี่คนสิ้นหวัง นั่งคอตก แล้วคนสิ้นหวังนั่งคอตกนะ ถึงเวลามารมันพลิกแพลง เห็นไหม มันยุแหย่ มันทำให้ล้มลุกคลุกคลาน มันทำให้เราหมดกำลังใจ พอหมดกำลังใจ พอคนหมดกำลังใจคือหมดความหวังทำอะไรมันจะเดินหน้าไปไหน แม้แต่ยกขาก้าวเดินมันยังก้าวไม่ไหวเลย แม้แต่จะก้าวขาเดินมันยังเดินไม่ไหว แล้วมันจะไปเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาอย่างใด

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ธงชัยพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ท่านโบกธงขึ้นมาแล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านโบกธงขึ้นมาแล้ว แล้วท่านนำกองทัพของท่าน เห็นไหม ท่านปราบเรือนยอดหักเรือนยอดของกิเลส ท่านทำลายค่ายกลของมันหมดแล้ว นี่ค่ายกลในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ค่ายกลในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่ายกลของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติสมตามความเป็นจริง มันเป็นกลองสะบัดชัย กลองที่เป็นสัญญาณของการรบ มันไม่ใช่กลองจัญไร กลองจัญไรนี่มันไม่เป็นประโยชน์กับใคร มันระบือลือลั่นโดยที่ไม่มีเนื้อหาสาระ มันไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย

แล้วมันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ มันเป็นประโยชน์กับกิเลสไง เป็นประโยชน์กับการประชาสัมพันธ์ไง ต้องมีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้โลกเขารับรู้ไง เพื่อผลประโยชน์ไง เพื่อความเคารพนบนอบของสังคมไง แล้วมันได้ประโยชน์อะไรมา มันได้แต่ความพะรุงพะรังในวัดในวานะ มันไม่สงบสงัด มันไม่ควรแก่การประพฤติปฏิบัติเลย

แต่เราจะเอาความจริงกันเห็นไหม เราไม่ใช่คนสิ้นหวังนะ เรามีลมหายใจ เรามีสติมีปัญญา เราไม่ใช่คนสิ้นหวัง เรามีความหวัง นี่เขาบอกมีความหวัง ถ้าเป็นความหวังก็เป็นตัณหาสิ เห็นไหม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถ้ามีความอยากประพฤติปฏิบัติไม่ได้ ถ้าปฏิบัติไปแล้วนี่มันก็เป็นเรื่องปฏิบัติเพื่อกิเลสไง นี่ชูธงของกิเลสขึ้นมาแล้วก็ปฏิบัติไปมันจะได้มรรคได้ผลมาจากไหน นี่เวลาคนที่สิ้นหวัง คนที่อ่อนแอ มันก็ทุกข์ๆ ยากๆ ขึ้นมา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านสะบัดหน้าขึ้นมา ท่านชูธงขึ้นมาเพื่อปลุกปลอบน้ำใจ ก็บอกว่านั่นมันเป็นสมุทัย นั่นเป็นกิเลส แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติแล้วท่านบอกว่าความอยากที่เป็นมรรค ความอยากที่จะพ้นจากทุกข์ ความอยากที่เรามาบวชเป็นพระกันประพฤติปฏิบัตินี่มันเป็นความอยากไหม มันก็เป็นความอยากทั้งนั้นน่ะ ความอยากอันนี้มันอยากที่เป็นมรรคไง มันไม่ได้อยากไปเข้าสู่มารไง

มารเวลาความอยากของมันมันก็อยากอีลุ่ยฉุยแฉก มันก็อยากจะไปสู่สังคมทางโลก อยากไปในทางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อยากเป็นกลองจัญไร อยากที่มันแบบว่ามันระบือลือลั่นไปโดยกิเลส ไปด้วยผลประโยชน์ ไปด้วยความฉ้อฉล นั่นน่ะถ้ามันระบือลือลั่นอย่างนั้นก็บอกเป็นคุณงามความดีนี่มันความอยากของกิเลส

ถ้าความอยากของธรรมเห็นไหม เราอยากแล้ว เราอยากเราเดินตามรอยศาสดา ตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละราชวังออกมาเห็นไหม นี่ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย นี่มันละล้าละลัง มันจะออกประพฤติปฏิบัติ นี่สละออกมา นั่นมันเป็นความอยากไหม ก็อยากไม่ตาย อยากไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อยากตรงข้าม อยากเอาจริงเอาจัง

ความอยากอันนี้มันเป็นมรรค เป็นมรรคก็ค้นคว้ามาๆ ก็ยังล้มลุกคลุกคลานมาตลอด เห็นไหม ล้มลุกคลุกคลานมาเพราะอะไร เพราะในเมื่อมันยังไม่มีสัจธรรมความจริงขึ้นมา ยังไม่มีใครรู้ธรรมขึ้นมา แล้วใครจะรู้ได้ล่ะ ไม่มีใครรู้ได้หรอก มันจะรู้ได้ๆ ด้วยบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ นี่สมบูรณ์แล้วเห็นไหม “เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”

นี่ตั้งแต่เกิด ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย มันก็มีปฏิภาณ ปฏิญาณเอาไว้แล้วว่ามีเป้าหมาย มีอธิษฐานบารมี เป้าหมายที่จะไปถึงที่สุดให้ได้ แล้วก็ไปตามความเป็นจริงด้วยเอกบุรุษ ด้วยความจริงจัง ด้วยเข้าไปในครองของโลก เห็นไหม ไปอยู่ที่ไหนๆ คนก็ยกย่องสรรเสริญ อาฬารดาบส อุทกดาบสก็บอกว่ามีความรู้เท่ากับอาจารย์ เท่ากับศาสดา แล้วศาสดาก็เป็นศาสดาแล้วน่ะสิ

นี่ไง ท่านไม่เอาๆ สละทิ้งหมดเพราะอะไร เพราะมันนี่ซื่อสัตย์กับตนเองไง มันซื่อสัตย์กับใจของตัวไง ถ้าใจของตัวมันยังทุกข์มันยากอยู่ ถ้าใจของตัวมันยังเศร้าหมองอยู่ ถ้าใจของตัวมันยังไม่สำรอกมันยังไม่คายออก มันยังไม่มีสิ่งใดเห็นไหม นี่ไงมันไม่เป็นกลองจัญไรไง มันเป็นความจริงไง กิเลสมันระบือลือลั่นอยู่นี่ มันไม่มีสัจธรรมที่ครอบงำมัน มันไม่ได้หักเรือนยอดของมันเลยแล้วมันจะพ้นจากทุกข์ไปได้อย่างไงล่ะ นี่มันเป็นไปไม่ได้ไง

ถึงต้องสละมา ออกจากสำนักนั้นไปๆ แล้วไปเอาความจริงของเรา นี่ไปเอาความจริงของเราแล้วไม่มีใครรู้จริง แล้วมันจะมีสำนักไหนรู้จริง มันก็ต้องไปค้นด้วยตัวของท่านเองเห็นไหม นี่ที่โคนต้นโพธิ์นั้นน่ะ จนถึงที่สุดหักเรือนยอดของมัน หักเรือนยอดของกิเลส หักเรือนยอดของเรือน ๓ หลังนั้น ความจริงมันเกิดจากที่นั่นไง ถ้ามันเกิดจากที่นั่นมาเห็นไหม ถ้าความจริงเกิดที่นั่นมา ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านมา ทำมาเป็นแบบอย่างของเรา เราเห็นประโยชน์อันนั้น เราถึงได้ตั้งใจมา ตั้งใจมาบวชมาเรียน บวชเรียน เห็นไหม เพื่อชำระล้างกิเลส

ฉะนั้น สิ่งที่บวชเรียนมาชำระกิเลสนี่พฤติกรรม การประพฤติปฏิบัติอันนั้นสำคัญ สิ่งที่เราอยู่นี่เห็นไหม นกยังมีรวงมีรัง เราก็ต้องมีวัดวาเป็นผู้ที่ไม่มีเรือนเห็นไหม คนที่มีเรือนเขาก็มีที่อยู่อาศัยของเขา เราก็มีที่พักอาศัยของเราเห็นไหม เรือนว่าง เราก็พยายามจะสร้างเรือนว่างกันพออยู่อาศัย พออยู่อาศัยแล้วเราจะทำงานจริงจังของเรา

คนมีความหวัง ถ้าคนมีความหวัง ความหวังของเราคือมรรคคือผล ความหวังของเราไม่ใช่เหรียญตรา ไม่ใช่โลกประกาศเกียรติคุณ ไม่ใช่ ไม่ใช่รับใบประกาศนียบัตรว่าคนนี้เป็นคนคุณงามความดี เราบวชเป็นพระ! โกนศีรษะมาแล้ว! จะต้องไปรับจากคนที่มีผมดำๆ ได้ยังไง เราบวชเป็นพระ! เราต้องรับมรรครับผลจากสัจธรรม จากอริยสัจจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีคุณธรรมขึ้นมาจากมรรคจากผล ไม่ใช่ไปรับใบประกาศเกียรติศัพท์เกียรติคุณจากใครหรอก เราเป็นพระ ศีลสมบูรณ์ ไปรับกับเขาได้อย่างไร รับกับเขาไม่ได้ ถ้ารับกับเขาไม่ได้แล้วจะรับกับใครเห็นไหม

ถ้าคนสิ้นหวัง คนสิ้นหวังมันพยายามจะสร้างกรอบขึ้นมา ให้อบอุ่นหัวใจว่าเรานี่เป็นคนที่สังคมเคารพนบนอบ สังคมเขายอมรับนับถือ จะต้องมีใบประกาศเกียรติศัพท์เกียรติคุณ ติดประกาศไว้ให้สังคมเขายอมรับว่าคนคนนี้มีคุณงามความดี เราจะต้องให้ใครมาประกาศเกียรติศัพท์เกียรติคุณของพวกเรา นักปฏิบัติของเราจะต้องให้ใครมาประกาศเกียรติศัพท์เกียรติคุณ สิ่งที่จะเป็นคุณงามความดีของเรา เกียรติศัพท์เกียรติคุณของเราต้องประกาศขึ้นมาจากสันทิฏฐิโก ความจริงในหัวใจนี่ต้องให้มันประกาศออกมา ถ้าความจริงในหัวใจเห็นไหม ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ที่ท่านอยู่สมณสารูป

ทุกคนนะ เวลาหลวงตาท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นท่านมีชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณมากในเรื่องการดุ ในเรื่องการกำราบพระ ท่านบอกว่า “นั่นล่ะอาจารย์ของเรา เราต้องเข้าไปหาพระอย่างนั้น” ถ้าเข้าไปหาพระอย่างนั้น เพราะท่านมั่นใจของท่าน ว่าถ้าพระอรหันต์ ถ้าพระที่มีมรรคมีผล ท่านจะทำร้ายคนด้วยความลำเอียง ลำเอียงเพราะรักลำเอียงเพราะชังมันเป็นไปได้ยังไง อยากจะพิสูจน์ไง ท่านถึงเข้าไปพิสูจน์อย่างนั้น

ทุกคนเราไม่ได้หวังผลประโยชน์จากใคร เราไม่ได้หวังผลประโยชน์จากใครเลย แล้วไม่ต้องการผลประโยชน์จากใครด้วย แต่เราต้องการมรรคต้องการผล เราต้องการคุณงามความดีให้เป็นสันทิฏฐิโก เราต้องการความจริงจากใจของเรา เห็นไหม นี่คนมีความหวังมีเป้าหมายอย่างนี้ ไม่ใช่คนสิ้นหวัง คนสิ้นหวังมันล้มลุกคลุกคลาน มันเชิดหน้าขึ้นมาไม่ได้ มันยกหัวขึ้นมาไม่ได้ มันก้มหน้ามันตลอด สิ้นหวัง หมดหวัง หมดหวังกับตัวเอง แล้วมันจะเอาความจริงมาจากไหน ถ้ามันเอาความจริงขึ้นมาไม่ได้เห็นไหม

เราเกิดมาเป็นคนนี่ถึงว่าเป็นอริยทรัพย์ๆ ความจริงของเราเราต้องทำของเราขึ้นมาให้ได้ ถ้าเราทำความจริงของเราขึ้นมาได้เห็นไหม หนึ่ง เราบวชมาเป็นพระ ความสมบูรณ์ของความเป็นพระนี่ตั้งแต่วันอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ มันสมบูรณ์กว่าความเป็นพระอยู่แล้ว แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาในใจของเราเห็นไหม เราบวชมาเป็นพระได้นุ่งห่ม ห่มผ้ากาสาวพัสตร์เป็นธงชัยของพระอรหันต์ เห็นไหม เราได้นุ่งห่ม เราได้มีข้อวัตรปฏิบัติกับบริขาร ๘ ในการบำรุงรักษา แล้วถ้าเราประพฤติประปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงในใจล่ะ ถ้าใจมันเป็นความจริงขึ้นมา มันมีคุณธรรมของมันขึ้นมาล่ะ นี่มีธรรมเป็นจริงขึ้นมาเห็นไหม นี่สมบัติแท้ แล้วถ้ามีสมบัติแท้อย่างนี้แหละมันเหนือโลก เห็นไหม ธรรมะเหนือโลก ธรรมะเหนือธรรมชาติ เหนือวัฏฏะ เหนือการเวียนว่ายตายเกิด เหนือสิ่งที่เป็นสัจจะสิ่งที่เป็นคุณธรรมที่เรารักษากันอยู่นี่ ถ้ามันเหนืออย่างนี้มันเหนือแล้วมันอยู่ในหัวใจของเราเห็นไหม นี่ไง ถ้าเราได้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ได้นุ่งห่มผ้าธงชัยของพระอรหันต์ แล้วหัวใจเราล่ะ?

มันต้องมีความหวังนะ เรามีความหวังมีแรงปรารถนา เราไม่ใช่คนสิ้นหวัง คนสิ้นหวัง คนไร้ค่า คนที่ไม่มีประโยชน์แล้วห่มผ้ากาสาวพัสตร์ไง นี่เห็นไหม จะต้องให้สังคมเขาค้ำไว้ นี่เดี๋ยวจะล้มเห็นไหม นี่ขาดเหลืออะไร นี่มีความจำเป็นอย่างไร มีความทุกข์ความยากแค่ไหน โอ้ย จะมีบริการอย่างไง นี่คนสิ้นหวัง! เราหวังพึ่งใคร เราไม่หวังพึ่งใครนะ เราหวังพึ่งปลีแข้ง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สิ่งที่เราจะประพฤติปฏิบัติเราต้องเข้มแข็ง ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง เราปฏิบัติของเราขึ้นมาให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเห็นไหม แล้วถ้ามีคุณธรรมขึ้นมาในหัวใจ นี่เหนือโลก แล้วมันน่าเคารพบูชา มันน่าเคารพบูชานะ

เวลาหลวงตาท่านไปคุยกับหลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนท่านพูดถึงความจริงในใจของท่าน แล้วท่านบอกหลวงตา “มหา มหามีอะไรค้านมานะ” หลวงตาท่านพูดเห็นไหม ท่านตอบหลวงปู่แหวน “เกล้ากระผมไม่ค้านหรอกครับ เกล้ากระผมแสวงหาคุณธรรมแบบนี้ เกล้ากระผมแสวงหาอยากฟังธรรมแบบนี้” เพราะธรรมแบบนี้ถ้าคนไม่รู้จริงมันพูดไม่ได้ ถ้าคนรู้จริงพูดออกมาแสดงว่าในใจนั้นมีคุณธรรม ถ้าในใจมีคุณธรรมเห็นไหม นี่สมบัติของใจดวงนั้นไง

ท่านมีสมบัติในใจดวงนั้นท่านหวั่นไหวไปกับอะไร ท่านคลอนแคลนไปกับสิ่งใด เพียงแต่ว่ากระแสสังคมกระแสโลกไปพึ่งพาอาศัยท่าน อาศัยชื่อเสียงของท่าน อาศัยความเป็นไปของท่าน เขามาอาศัย โลกมาอาศัย โลกมาแสวงหาผลประโยชน์จากชื่อเสียงของท่าน โลกเข้ามาหาผลประโยชน์ มันเป็นประโยชน์กับโลก โลกเขาแสวงหา แล้วเขาหากินกันไม่ได้เขาถึงมาหากินกับชื่อเสียงของท่าน

แต่เราไม่ได้แสวงหาเห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า ท่านแสวงหา หาธรรมแบบนี้ ไม่คัดค้าน เห็นไหม นี่ความจริง ถ้าความจริงขึ้นมาในใจของเรา เราประพฤติปฏิบัติเพื่อเหตุผลอย่างนี้ เพื่อคุณธรรมเพื่อสัจจะความจริงอย่างนี้ ไม่ใช่คนสิ้นหวัง เอวัง